Benign

Congenital Hemangioma

(คอน-เจน-นิ-ทอล เฮ-แมน-จิ-โอ-มา)
เนื้องอกหลอดเลือดที่มีตั้งแต่กำเนิด
โดย อาจารย์ แพทย์หญิงสัญชวัล วิทยากรฤกษ์

เลือกอ่านตามหัวข้อ

1. คืออะไร?

Congenital Hemangioma (CH) คือเนื้องอกหลอดเลือดชนิดไม่ร้ายแรงที่ เติบโตครบสมบูรณ์ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ และมองเห็นได้ชัดทันทีหลังทารกเกิด ต่างจาก Infantile Hemangioma ซึ่งจะปรากฏหลังเกิดช่วง 1-2 สัปดาห์

CH แบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก:

  • RICH (Rapidly Involuting Congenital Hemangioma) เนื้องอกหลอดเลือดที่มีตั้งแต่กำเนิดชนิดที่ยุบเร็ว: รอยโรคมักจะมีขนาดเล็กลงเร็ว ภายใน 12-15 เดือนหลังเกิด
  • NICH (Non-Involuting Congenital Hemangioma) เนื้องอกหลอดเลือดที่มีตั้งแต่กำเนิด
  • ชนิดที่ไม่มีการยุบตัว: เนื้องอกชนิดนี้ไม่ยุบตัวและอาจมีขนาดโตตามตัวได้
  • PICH (Partially Involuting Congenital Hemangioma) เนื้องอกหลอดเลือดที่มีตั้งแต่กำเนิดชนิดที่มีการยุบบางส่วน: เนื้องอกชนิดนี้จะยุบตัวเพียงบางส่วนในช่วงแรก หลังจากนั้นจะมีก้อนคงอยู่บางส่วน ต่างจาก RICH


CH เป็นภาวะที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่แม่ทำระหว่างตั้งครรภ์

2. พบบ่อยแค่ไหน?

CH พบได้ประมาณ 0.3-3% ของทารกแรกเกิด

3. พบบริเวณใดของร่างกาย?

CH สามารถพบได้ที่:

  • ใบหน้า ศีรษะ และลำคอ (ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด)
  • ลำตัว
  • แขนขา
  • ตับ 

4. วินิจฉัยอย่างไร?

  • จากประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูลักษณะของก้อน และการดำเนินโรค
  • การตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค ถ้าไม่สามารวินิจฉัยได้จากประวัติและการตรวจร่างกาย
    • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวน์ (Ultrasound)
    • การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging, MRI) 
    • การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy): ทำเฉพาะกรณีที่สงสัยว่าเป็นโรคอื่น

5. ภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะที่ควรระวัง

  • แผล (Ulceration): พบได้ในบางราย โดยเฉพาะบริเวณที่มีแรงกดหรือเสียดสี
  • เลือดออก: หากรอยโรคถลอกหรือกระแทก
  • หัวใจทำงานหนักหรือหัวใจล้มเหลว (High-output cardiac failure): หากรอยโรคใหญ่ โดยเฉพาะในตับ
  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำชั่วคราว: ผู้ที่มีรอยโรคชนิด RICH อาจมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำในช่วง 2 สัปดาห์แรก

6. การดูแลแผลจาก CH

หากรอยโรคเกิดแผลเปิด การดูแลที่เหมาะสมมีความสำคัญเพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น:

  • ล้างแผลวันละ 1–2 ครั้ง ด้วยน้ำเกลือสะอาด
  • ทายาปฏิชีวนะเฉพาะที่ เช่น Mupirocin เพื่อป้องกันการติดเชื้อวันละ 2 ครั้ง
  • ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรืออุปกรณืทำแผลที่ไม่ติดแผล (non-stick gauze) หรือ hydrocolloid dressing
  • ให้ยาแก้ปวด ตามคำแนะนำของแพทย์หากมีอาการเจ็บ
  • ใส่เสื้อผ้านุ่ม ลดการเสียดสี โดยเฉพาะในทารก
  • หากแผลมีอาการแดง บวม หนอง หรือกลิ่นผิดปกติ → ควรพบแพทย์ทันที

7. แนวทางการรักษา

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของ CH:

  • RICH: ไม่ต้องรักษา รอยโรคจะยุบเอง โดยมักจะหายในช่วงอายุ 12-15 เดือน สามารถทาปิโตรเลียมเจลเพื่อป้องกันการเกิดแผลบริเวณรอยโรค
  • NICH และ RICH พิจารณาการรักษาตามกรณี
    • ถ้าไม่มีอาการผิดปกติ และไม่อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดและมีผลต่อความสวยงาม แนะนำให้ติดตามอาการเป็นระยะ 
    • การผ่าตัด Surgery: มีข้อบ่งชี้ในกรณีที่
      • รอยโรคมีเลือดออกซ้ำ ๆ หรือรักษาแผลไม่หายขาด 
      • รอยโรคขนาดใหญ่มากจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย
      • รอยโรคขนาดใหญ่และมีผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นที่สำคัญ เช่น มีผลการมองเห็น
    • Embolization: คือหัตถการทางรังสี (interventional radiology) ที่ฉีดสารเข้าไปทางหลอดเลือด เพื่ออุดหลอดเลือดที่เลี้ยงก้อนเนื้องอก ส่งผลให้หยุดหรือจำกัดการไหลเวียนของเลือดไปยังรอยโรค ทำให้เนื้องอกยุบตัวหรือโตช้าลง มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด
    • เลเซอร์ (Laser therapy) สามารช่วยลดรอยโรคที่อยู่บริเวณผิวหนังตื้นๆได้ เช่น ใช้ pulsed dye laser ในการรักษาเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัวที่ผิวหนัง (superficial telangiectasia) หรือเลเซอร์ Fractional CO2 เพื่อช่วยลดรอยแผลเป็นหรือความไม่สมำ่เสมอของผิวหนัง

ยา Propranolol และยาสเตียรอยด์ ไม่ช่วยให้ CH ยุบลง เนื่องจากโรคนี้ไม่ตอบสนองต่อยาดังกล่าว

8. ข้อมูลพันธุกรรม

มีรายงานการกลายพันธุ์ในยีน GNAQ และ GNA11 

9. ข้อมูลที่พ่อแม่สามารถช่วยบันทึก

  • ถ่ายภาพรอยโรคทุกสัปดาห์ เพื่อดูพัฒนาการ
  • วัดขนาดของรอยโรค (ความยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง หรือรอบวง)
  • สังเกตความร้อนหรือการอักเสบ
  • บันทึกอาการผิดปกติ เช่น แผล ตกสะเก็ด เลือดออก
  • จดบันทึกคำแนะนำจากแพทย์ และผลข้างเคียงของการรักษา (ถ้ามี)

10. แกลเลอรี่ภาพ