Venous

Blue Rubber Bleb Nevus Syndrome

(บลู รั๊บ-เบอร์ เบลบ นี-วัส ซิน-โดรม หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บีอาร์บีเอ็นเอส)
โดย อาจารย์ แพทย์หญิงสัญชวัล วิทยากรฤกษ์

เลือกอ่านตามหัวข้อ

1. คืออะไร?

Blue Rubber Bleb Nevus Syndrome (BRBNS) คือภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดดำที่หายากมาก มีลักษณะเฉพาะคือการเกิดตุ่มหรือก้อนของหลอดเลือดดำผิดปกติหลายแห่ง ทั้งบนผิวหนังและภายในร่างกาย โดยเฉพาะ ระบบทางเดินอาหาร

คำว่า “blue rubber bleb” มาจากลักษณะของรอยโรคที่:

  • สีน้ำเงินเข้มหรือม่วง
  • นูนและยืดหยุ่นคล้ายยาง
  • สามารถยุบตัวได้เมื่อกด

รอยโรคที่ผิวหนังมักไม่อันตราย แต่รอยโรคในทางเดินอาหารอาจทำให้เกิดเลือดออกเรื้อรังและภาวะโลหิตจางได้


2. พบบ่อยแค่ไหน?

พบได้ น้อยมาก โดยมีรายงานทั่วโลกเพียงไม่กี่ร้อยราย ส่วนใหญ่เป็นการเกิดขึ้นเอง (sporadic) ไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

บางกรณีอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน TEK (TIE2 gene) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการคงสภาพของหลอดเลือด


3. พบตรงไหนของร่างกาย?

  • ผิวหนัง:
    • มักเริ่มสังเกตเห็นตั้งแต่เด็กเล็ก
    • พบที่แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว หรือใบหน้า
    • ลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วง–น้ำเงิน ผิวเรียบ มันวาว
    • นุ่มและกดยุบได้ ไม่เจ็บ
  • ระบบทางเดินอาหาร:
    • พบได้ตั้งแต่หลอดอาหารจนถึงลำไส้ใหญ่
    • อาจมีเลือดออกในลำไส้เรื้อรัง → ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
  • อื่น ๆ:
    • กล้ามเนื้อ, ตับ, ม้าม, สมอง (พบได้น้อย)

4. วินิจฉัยอย่างไร?

  • ตรวจร่างกาย:
    • ตุ่มสีม่วง-น้ำเงินที่ผิวหนัง สามารถยุบตัวได้เมื่อกด
  • ส่องกล้องทางเดินอาหาร (endoscopy):
    • เพื่อตรวจหารอยโรคในทางเดินอาหารที่อาจเป็นต้นเหตุของเลือดออก
  • MRI หรือ CT scan:
    • ดูตำแหน่งและขอบเขตของรอยโรคภายใน
  • การตรวจพันธุกรรม (กรณีสงสัย):
    • ตรวจยีน TEK/TIE2 หากมีประวัติครอบครัวหรือรอยโรคหลายตำแหน่ง

5. ภาวะแทรกซ้อน 

  • เลือดออกในทางเดินอาหารเรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
  • ปวดหรือไม่สบาย จากรอยโรคที่อยู่ลึกหรือกดทับเนื้อเยื่อ
  • แผลหรือการติดเชื้อ หากตุ่มที่ผิวหนังเกิดบาดเจ็บ
  • ภาวะลำไส้อุดตันหรือลำไส้กลืนกัน (intussusception)

6. การรักษา

(ยังไม่มีวิธีรักษาหายขาด เป้าหมายคือควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน)

6.1 การรักษาแบบประคับประคอง

  • ให้ธาตุเหล็กหรือถ่ายเลือดในผู้ที่มีโลหิตจาง

6.2 การรักษาเฉพาะที่

ผ่าตัดรอยโรคที่มีอาการชัดเจน

  • โดยเฉพาะรอยโรคในลำไส้ที่มีเลือดออกบ่อยหรือมีขนาดใหญ่

Sclerotherapy (ฉีดยาทำลายหลอดเลือดผิดปกติ)

  • เช่น polidocanol หรือ sodium tetradecyl sulfate (STS)
  • มีรายงานว่าได้ผลดีในการลดขนาดรอยโรคที่ผิวหนังและลดอาการปวดฃฃฃฃฃฃ

เลเซอร์ Nd:YAG หรือ Pulsed Dye Laser

  • ใช้ลดสีและขนาดของตุ่มบนผิวหนัง
  • ปลอดภัยในผู้ป่วยเด็ก และได้ผลดีในรอยโรคที่อยู่ตื้นบนผิวหนัง

6.3 การรักษาด้วยยา

Sirolimus (mTOR inhibitor)

  • มีการศึกษาแสดงว่า:
    • ช่วยลดจำนวนและขนาดของรอยโรค
    • ลดเลือดออกจากทางเดินอาหาร
    • ลดความถี่ในการถ่ายเลือด
  • เป็นทางเลือกใหม่ที่มีผลข้างเคียงต่ำและได้ผลในหลายราย

งานวิจัยที่สนับสนุน:


7. กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้อง

  • Glomuvenous Malformation (GVM): หลอดเลือดดำผิดปกติแบบเจาะจงบริเวณ
  • Maffucci Syndrome: เนื้องอกกระดูก + หลอดเลือดผิดปกติ
  • Klippel-Trenaunay Syndrome (KTS): ปานแดง, เส้นเลือดขอด, แขน/ขายาวไม่เท่ากัน

8. ข้อมูลพันธุกรรม

  • ยีนที่เกี่ยวข้องคือ TEK (TIE2 gene)
  • ส่วนใหญ่เกิดแบบ sporadic (ไม่ได้ถ่ายทอด)
  • มีบางรายที่ถ่ายทอดแบบยีนเด่น autosomal dominant (ถ้ามีพ่อหรือแม่เป็นโรค ลูกมีโอกาส เกิดโรค 50% ในทุกการตั้งครรภ์)

9. สิ่งที่ครอบครัวควรเก็บข้อมูล และการดูแล

  • ถ่ายภาพรอยโรคเป็นระยะ (ทุก 3–6 เดือน)
  • สังเกตเลือดออกจากอุจจาระ (ถ่ายดำ, ถ่ายปนเลือด)
  • สังเกตภาวะโลหิตจาง (หน้าซีด เหนื่อยง่าย ใจสั่น)
  • หลีกเลี่ยงการกระแทกบริเวณที่มีตุ่ม
  • ติดตามกับกุมารแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางหลอดเลือด
  • หากใช้ sirolimus ควรตรวจเลือดตามคำแนะนำของแพทย์

10. Gallery

ภาพจาก DermNet : https://dermnetnz.org/topics/skin-manifestations-of-gastrointestinal-disease